สำหรับบทก่อนหน้า สามารถติดตามได้ตามนี้
บทที่ 1 ข้อมูลเบื้องต้นของประเทศจีนและเส้นทางสายไหม https://jawarajtours.com/ท่องเที่ยวเส้นทางสายไห
บทที่ 2 หลานโจว http://jawarajtours.com/ท่องเที่ยวเส้นทางสายไห-2/
บทที่ 3 จางเย่ http://jawarajtours.com/ท่องเที่ยวเส้นทางสายไห-3/
บทที่ 4 เจียยี่กวน http://jawarajtours.com/ท่องเที่ยวเส้นทางสายไห-4/
หลังจากรับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมแล้ว ก็นั่งรถบัสต่อไปยังเมืองตุนหวง โอเอซีสกลางทะเลทรายโกบี ตั้งอยู่ในเขตเมืองจิ๋วเฉวียน (เดิมชื่อซูโจว) มณฑลกานซู่ เป็นเมืองอยู่บนทางสายไหมที่คาราวาน จะแวะมาพักผ่อนอิริยาบถ มีที่เที่ยวหลายแห่ง เมืองตุนหวง (Dunhuang) คำว่า ตุน แปลว่า ใหญ่ หวง แปลว่า รุ่งโรจน์ ดังนั้นเมืองตุนหวงได้ชื่อนี้เนื่องจากเป็นเมืองใหญ่ที่รุ่งโรจน์ในประวัติศาสตร์จีน ใครมาทางสายไหมต้องแวะเป็นเมืองโบราณมากว่า 2,000 ปี จุดสำคัญบนทางสายไหมที่จากจีนไปเอเซียกลาง ยุโรป และแอฟริกาเหนือ ตุนหวงเคยเป็นแหล่งบรรจบของอารยธรรมจีน อินเดีย กรีซ และอาหรับ เคยเป็นแหล่งบรรจบของศาสนาพุทธ อิสลาม คริสต์ เต๋า ยูดาร์ ฮินดู และเป็นแหล่งบรรจบของวัฒนธรรมชาติต่างๆ อีกกว่า 10 ชาติพันธุ์ ตุนหวงขึ้นชื่อด้วยถ้ำหินที่เจาะบนหน้าผาในช่วงศตวรรษที่ 4 – 14 ตลอดมาเป็นเวลาถึง 1,000 ปี เวลานั้นตุนหวงเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ การค้าและวัฒนธรรมบนทางสายไหมเป็นสถานที่แห่งแรกของจีนที่ได้สัมผ้สเข้าถึงพุทธศาสนาประกอบกับความแห้งแล้งอุณหภูมิที่ต่างกันมากระหว่างกลางวันและกลางคืนจึงมีการสร้างวัดในถ้ำไว้เป็นที่สักการะบูชาพระพุทธเจ้า หลวงพ่อเล่อจุนเป็นผู้ริเริ่มสร้างถ้ำแห่งแรกในตุนหวงปีคศ. 366 หลวงพ่อพบเห็นแสงสีทองบนเนินทรายหมิงซาในตุนหวงราวกับว่าพระพุทธเจ้าหลายพันองค์ปรากฏจึงคิดว่าแถวนี้ศักดิ์สิทธิ์ จึงชี้นำให้ขุดถ้ำเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของสงฆ์ ต่อมาตุนหวงได้ขุดถ้ำพุทธศิลป์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงศตวรรษที่ 7 ราชวงค์ถัง ตุนหวงก็มีถ้ำพุทธศิลป์มากกว่า 1,000 ถ้ำ ปัจจุบันถ้ำหินเหลือ 812 ถ้ำเรียงรายบนหน้าผาที่มีความยาว 1,600เมตร ถ้ำเหล่านี้สร้างเป็น2-3ชั้น บางทีมี 4 ชั้นมองไกลๆ เหมือนรังผี้ง ในถ้ำรวบรวมสถาปัตยกรรม ประติมากรรมและจิตรกรรมฝาผนังให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
จุดหมายแรกของตุนหวง คือ เนินทรายหมิงซาซาน หรือเนินทรายร้องไห้ เนินทรายที่มีความยาว 40 กิโลเมตร สูงประมาณ 250 เมตร ทรายมีสีสันต่างกัน 5 สี คือ แดง เหลือง เขียว ขาว ดำ เมื่อถึงยอดเนินเขาสามารถไถลลื่นลงมาสู่เชิงเขาด้านล่างได้อย่างสนุกสนาน ขี่อูฐท่องทะเลทรายจูงตามกันเป็นแถวไปตามสันทรายที่โค้งไปมา เนินทรายดูเป็นประกายเมื่อต้องแสงอาทิตย์ตัดกับฟ้าสวยสีครามใส

เดินไปอีกไม่ไกลก็ถึงทะเลสาบพระจันทร์เสี้ยว (เย่ว์หยาเฉวียน) ซี่งเป็นทะเลสาบเล็กๆ รูปพระจันทร์เสี้ยวเป็นโอเอซิสกลางทะเลทรายโกบี ทะเลสาบน้ำจืดนี้ถูกล้อมรอบด้วยเนินทรายที่มีความยาว 600 เมตร กว้าง 50 เมตร ลึก 5 เมตร ทางทิศใต้เป็นที่ตั้งของวิหารเจ้าแม่กวนอิม ศาลพระเจ้ามังกร หอน้ำพุหยก รอบๆ ล้อมรอบด้วยต้นไป๋หลาง ทะเลสาบไม่เคยแห้งและถูกทับถมด้วยทรายเพราะทิศทางลมไม่เคยพัดทรายลงมามีแต่พัดขึ้นบนเสมอ ทำให้ทะเลสาบอยู่ได้

จากนั้นนั่งรถบัสเข้าตุนหวงไปทานอาหารที่ภัตตาคารแล้วไปดูการแสดงตุนหวง ตั๋วราคา 200 หยวน หรือประมาณ 1,000 บาท เมื่อผ่านประตูเข้าไปมีอัฒจรรย์ที่ยกพื้นมีเก้าอี้นั่งเป็นชั้นๆ บรรจุคนได้เป็นพัน เวทีกลางแจ้งข้างหน้าทำเป็นเนินทรายเหมือนที่เนินหมิงซาเลยเป็นสันทรายสลับซ้อนกันเป็นมิติ ข้างๆ ก็มีสิ่งก่อสร้างคล้ายรูรังผึ้งเหมือนถ้ำที่หน้าผา มีป้อม มีประภาคาร เมื่อถึงเวลา มีการดับไฟและมีการแสดงท่ามกลางแสงสี อัฒจรรย์เลื่อนขวาซ้ายและเลื่อนไปหน้าหลังได้จึงเหมือนมองอยู่ตรงหน้าตลอดเวลา เข้าออกถ้ำที่นั่งเก็เลื่อนเข้าออกเหมือนเราเคลื่อนเข้าและออกถ้ำจริงๆ นักแสดงก็จะเปลี่ยนฉากเล่น สีแสง เสียง เทคนิคสุดยอด ซึ่งเรื่องราวจะกล่าวถึงตำนานการสร้างถ้ำโม่เกาที่จะเดินทางในวันรุ่งขึ้น จากนั้นกลับโรงแรม Hailian Intertional Hotel เพื่อพักผ่อนสำหรับคืนนี้

หลังอาหารเช้าก็นั่งรถบัสออกเดินทางไปชมถ้ำโมเกา ถ้ำโมเกาเป็นถ้ำใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในตุนหวงโดยแบ่งเป็นเขตเหนือกับเขตใต้ เขตใต้มี 492 ถ้ำ ซึ่งเป็นสถานที่ไหว้พระและประกอบกิจกรรมทางศาสนา เขตเหนือมี 243 ถ้ำ ส่วนใหญ่เป็นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์และช่างฝีมือที่ก่อสร้างถ้ำ โดยในถ้ำทางนี้จะมีเครื่องใช้ต่างๆ ไม่มีประติมากรรมและจิตรกรรมภาพฝาผนัง ถ้ำเลขที่ 96 ของถ้ำโม่เกามีชายคาไม้สีแดงนอกถ้ำ 9 ชั้น สูง 15 เมตรเป็นอาคารใหญ่ที่สุดและสำคัญของโม่เกาครอบพระพุทธรูปสูง 35.5 เมตรซึ่งเป็นรูปปั้นที่ใหญ่ที่สุดในถ้ำแห่งตุนหวง

ประติมากรรมเป็นองค์ประกอบสำคัญของถ้ำตุนหวงส้วนมากเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะแตกต่างกัน และงดงามตามยุคสมัยของการก่อสร้างซึ่งสืบต่อกันมาเป็นเวลานับพันปี

เมื่อการพัฒนาเส้นทางสายไหมทางทะเลรุ่งโรจน์ขึ้น เส้นทางสายไหมทางบกก็เสื่อมความนิยมตกอยู่สภาพซบเซาจนปีค.ศ.1900 นักพรตลัทธิเต๋ารูปหนึ่งได้พบถ้ำที่ถูกปิดผนึกไว้ที่ตุนหวงโดยบังเอิญซึ่งได้เก็บซ่อนพระคัมภีร์ทางศาสนา จดหมายเหตุ บันทึกทางประวัติศาสตร์ ตำรา หนังสือเกี่ยวกับประเพณี สังคม และการเมืองตลอดจนภาพเขียนและโบราณวัตถุต่างๆ จำนวนกว่า 5 หมื่นชิ้น ทำให้ตุนหวงกลับมาสู่สายตาของโลกอีกครั้ง จึงกลายเป็นแหล่งขุมทรัพย์ทางการศึกษา ด้านวัฒนธรรมจีนโบราณและแหล่งจาริกแสวงบุญไปในทันที แต่ขณะเดียวกันนักแสวงโชคและพวกล่าอาณานิคมได้เข้าไปฉกฉวยสมบัติล้ำค่า ขนย้ายออกนอกประเทศไปมากถือเป็นหายนะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์วัฒนธรรมจีน หลังสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน มีการจัดตั้งสถาบันวิจัยตุนหวงและพิพิธภัณฑ์ตุนหวงเพื่อคุ้มครองความยิ่งใหญ่รุ่งโรจน์ของเมืองตุนหวง
ในปีคศ. 1986 ยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนถ้ำโม่เกาเป็นมรดกวัฒนธรรมโลก โดยระบุว่าถ้ำโม่เกาที่แกะสลักบนหน้าผาอยู่เหนือแม่น้ำต้าชวนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของโอเอซีสตุนหวงในมณฑลกานซู่ เป็นขุมทรัพย์ศิลปะทางพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่แและใช้งานเป็นเวลายาวนานที่สุดในโลก แสดงให้เห็นความสำเร็จของพุทธศิลป์ระหว่างศตวรรษที่ 4 ถีง 14 ที่มีคุณค่าทางประวัติศาตร์ไม่มีใครเทียบได้ ผลงานเหล่านี้ให้เนื้อหาที่หลากหลายและมีชีวิตชีวา ที่พรรณาถึงการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศิลปะ และศาสนาในทางตะวันตกของจีนในยุคกลาง
หลังจากนั้นนั่งรถไปทานอาหารกลางวันที่ในเมืองตุนหวงเสร็จแล้วนั่งรถบัสไปเพื่อไปสถานีรถไฟความเร็วสูงชื่อสถานีลุยยั่วหนานเพื่อขึ้นรถไฟไปเมืองถูลู่ฟาน มณฑลซินเกียง
ติดตามบทต่อไปได้ที่นี่ http://jawarajtours.com/ท่องเที่ยวเส้นทางสายไห-6/
ผู้แต่ง: พญ. รุจิรา สุริยวนากุล